วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

งานนำเสนอโปรเจ็ก

























































































































ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 10



Facebook’s recent integration of facial recognition
software into their service resulted in mixed reviews
from users, as many were not happy as it wasn’t
always clear what photo was being tagged. The
company is now testing an alternative tagging
system which pops up notifications as you browse
through photo galleries.
แหล่งที่มา www.allfacebook.com

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่9

Facebook
Facebook, the world's largest social network, announced in July 2010, that it had 500 million users around the world. The company has grown at a meteoric pace, doubling in size since 2009 and pushing international competitors aside. Its policies, more than those of any other company, are helping to define standards for privacy in the Internet age.

The company, founded in 2004 by a Harvard sophomore, Mark Zuckerberg, began life catering first to Harvard students and then to all high school and college students. It has since evolved into a broadly popular online destination used by both teenagers and adults of all ages. In country after country, Facebook is cementing itself as the leader and often displacing other social networks, much as it outflanked MySpace in the United States. http://topics.nytimes.com/
แหล่งที่มาhttp://topics.nytimes.com/

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่8

ประวัติ facebook
4 กุมภาพันธ์ 2548 Mark Zuckerburg ได้เปิดตัวเว็บไซต์ facebook ซึ่งเป็นเว็บประเภท social network
ที่ตอนนั้น เปิดให้เข้าใช้เฉพาะนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดเท่านั้น
และเว็บนี้ก็ดังขึ้นมาในชั่วพริบตา เพราะแค่เพียงเปิดตัวได้สองสัปดาห์
ครึ่งหนึ่งของนักศึกษาที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด
ก็สมัครเป็นสมาชิก facebook เพื่อเข้าใช้งานกันอย่างล้นหลาม
และเมื่อทราบข่าวนี้ มหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในเขตบอสตั้นก็เริ่มมีความต้องการ
และอยากขอเข้าใช้งาน facebook บ้างเหมือนกัน
มาร์คจึงได้ชักชวนเพื่อของเค้าที่ชื่อ Dustin Moskowitz และ Christ Hughes
เพื่อช่วยกันสร้าง facebook และเพียงระยะเวลา 4 เดือนหลังจากนั้น facebook
จึงได้เพิ่มรายชื่อและสมาชิกของมหาวิทยาลัยอีก 30 กว่าแห่ง

ไอเดียเริ่มแรกในการตั้งชื่อ facebook
นั้นมาจากโรงเรียนเก่าในระดับมัธยมปลายของมาร์ค ที่ชื่อฟิลิปส์
เอ็กเซเตอร์ อะคาเดมี่ โดยที่โรงเรียนนี้
จะมีหนังสืออยู่หนึ่งเล่มที่ชื่อว่า The Exeter Face Book ซึ่งจะส่งต่อ ๆ
กันไปให้นักเรียนคนอื่น ๆ ได้รู้จักเพื่อน ๆ ในชั้นเรียน ซึ่ง face book
นี้จริง ๆ แล้วก็เป็นหนังสือเล่มหนึ่งเท่านั้น จนเมื่อวันหนึ่ง
มาร์คได้เปลี่ยนแปลงและนำมันเข้าสู่โลกของอินเทอร์เน็ต

เมื่อประสบความสำเร็จขนาดนี้ ทั้งมาร์ค ดัสติน และ ฮิวจ์
ได้ย้ายออกไปที่ Palo Alto ในช่วงฤดูร้อนและไปขอแบ่งเช่าอพาร์ทเมนท์
แห่งหนึ่ง หลังจากนั้นสองสัปดาห์ มาร์คได้เข้าไปคุยกับ ชอน ปาร์คเกอร์
(Sean Parker) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Napster จากนั้นไม่นาน
ปาร์คเกอร์ก็ย้ายเข้ามาร่วมทำงานกับมาร์คในอพาร์ตเมนท์
โดยปาร์คเกอร์ได้ช่วยแนะนำให้รู้จักกับนักลงทุนรายแรก ซึ่งก็คือ ปีเตอร์
ธีล (Peter Thiel) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Paypal และผู้บริหารของ The
Founders Fund โดยปีเตอร์ได้ลงทุนใน facebook เป็นจำนวนเงิน 500,000
เหรียญสหรัฐฯ

แหล่งที่มา www.bloggang.com/viewdiary

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 7

เปิดใจชาว Facebook กับภารกิจรัก ‘ในหลวงในดวงใจ’

ความเห็น (0) By EZ Editor Bow, สิงหาคม 4, 2010 11:34 am
บนโลกไซเบอร์หลายคนอาจมองว่าหาความจริงใจได้ยากที่จะสร้างมิตรภาพได้อย่าง ยั่งยืน แต่สำหรับในสังคมออนไลน์กลุ่ม Facebook นั้นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน และมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน นั่นก็คือการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อในหลวง
เป็น เวลาหลายเดือนแล้วที่ชุมชนออนไลน์ในเว็บไซต์ยอดนิยมอย่าง Facebook (เฟซบุ๊ก) ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงออกทางสังคมอย่างตรงไปตรงมาเพียงเหตุผลเดียวก็ คือความจงรักภักดีที่มีต่อในหลวง วันนี้มีโอกาสได้ไปพบเจอกับกลุ่มคนออนไลน์เหล่านี้ในงานที่พวกเขาจัดขึ้น เพื่อการแสดงจุดยืนของตนเองที่งาน “ในหลวงในดวงใจ” เลยได้เข้าไปพูดคุยกับตัวแทนของกลุ่มก็คือคุณปีเตอร์ ซึ่งได้เล่าว่า Continue reading 'เปิดใจชาว Facebook กับภารกิจรัก ‘ในหลวงในดวงใจ’'»

แหล่งที่มา http://variety.eduzones.com/facebook/category/%e0%b8%82%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%a7-facebook/

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ส่งงานe-books

เกษตรตาบล ในระดับอาเภอก็มีเจ้าหน้าที่สานักงานเกษตรอาเภอถ้าต้องการทราบข้อมูล เกี่ยวกับดินและปุ๋ย .... ทันโลก เกษตรกรบนแผ่นกระดาษ รู้ไว้ใช่ว่า เป็น ...
p87692182029.pdf - book search ดาวน์โหลดไฟล์ที่นี่ untitled
ที่มาhttp://e-bookmarket.com/index.php?keyword=%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A9&page=results&filetype=pdf&x=62&y=9
เกษตรก้าวหน้า
เกษตรใหม่ให้ม ีประสิทธิภาพมากขึน เพราะได้มีการวางแผนการผลิตการตลาดเอาไว้ล่วงหน้า แล้ว ทําให้. ในอนาคตประเทศไทยจะสามารถซือขายพืชผลล่วงหน้าได้ด้วย ทําให้ภ ...
Agri.pdf - book search เกษตรก้าวหน้า
ที่มาhttp://e-bookmarket.com/index.php?keyword=%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88&page=results&filetype=pdf&x=77&y=17
มีงานสวนหนึ่งที่ทําโดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรเริ่มมาเมื่อ 2 ปที่แลว .... ในวันที่2 มิถุนายนนี้ทางสมาคมสื่อมวลชนเกษตรแหงประเทศไทยรวมกับ มก. ...
kaseatyukmai.pdf - book search เกษตรยุคใหม่ ให้ปุ๋ยแบบสั่งตัด
ที่มาhttp://e-bookmarket.com/index.php?keyword=%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88&page=results&filetype=pdf&x=77&y=17

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข่าวประจำสัปดาห์ที่6

ความเป็นมาของ Facebook ที่ทำให้เด็กหนุ่มเป็นเศรษฐี
Facebook คืออะไร
Facebook ก็คือ Soical Networking เว็บไซต์หนึ่งที่มีผู้นิยมใช้งานกันมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
เพียงแค่เราสมัครเป็นสมาชิกกับ Facebook
เราก็จะสามารถแบ่งปันข้อมูล รูปภาพ ความรู้สึกผ่านทางหน้าเว็บไซต์ของ Facebook ได้ และที่สำคัญมากที่เป็นจุดประสงค์หลักของ
Facebook ก็คือ การหาเพื่อนเก่าผ่านทาง Facebook และสามารถหาเพื่อนใหม่ๆ ได้จากทุกมุมโลกเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่า Facebook
จะมีหลักการเช่นเดียวกันการบันทึกลง "หนังสือรุ่น" นั่นเอง แต่แน่นอน เนื่องจากเป็นเว็บไซต์ Facebook จึงทำอะไรๆ ได้มากมายก็ หนังสือรุ่นธรรมดา
ที่มาของ Facebook
จุดเริ่มต้นมาจาก Mr. Mark Zuckerburg ในสมัยที่เป็นนักศึกษา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้แนวคิดมาจาก
การเขียนหนังสือที่ใช้สำหรับแนะนำตัวกับเพื่อนใหม่ในชั้นเรียน และนำมาดัดแปลงมาเป็นเว็บไซต์ในโลกของอินเตอร์เน็ต
เริ่มต้นก็ใช้ในระดับมหาวิทยาลัย และแพร่กระจายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งล่าสุดมีผู้ที่เป้นสมาชิก Facebook มากถึง 500 ล้านคนแล้ว
เรียกว่าปัจจุบัน Mr. Mark Zuckerburg ได้กลายเป็นเศรษฐีที่อายุน้อยคนหนึ่งของโลกเลยทีเดียว ปัจจุบัน Facebook
ได้มีการแปลเป็นภาษามากมาย รวมทั้งภาษาไทยด้วย และที่ทำให้เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วมากขึ้น เห็นจะมาจากการให้บริการฟรี
แหล่งที่มา www.voicetv.co.th

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข่าวประจำสัปดาห์ที่5

Facebook เพิ่มหน้าเว็บเป็นส่วนตัวบนมือถือ

Facebook ได้เพิ่มหน้าเว็บปรับแต่งการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวบนมือถือ โดยให้ผู้ใช้เข้าไปที่ m.facebook.com/privacy โดยตรง หรือเข้าหน้า Settings แล้วคลิกลิงก์ Change ในหัวข้อ Privacy Settings

เท่าที่เห็นจากรูปในเว็บที่มา (เนื่องจากบัญชีผู้ใช้ของผมยังเข้าถึงหน้าเว็บดังกล่าวไม่ได้) เราสามารถเลือกได้ว่าเพื่อนกลุ่มใด (เพื่อนเท่านั้น เพื่อนของเพื่อน หรือทุกคน) จะสามารถมองเห็นคอนเทนต์ที่เราโพสต์ นอกจากนั้นยังสามารถเรียกดู (เข้าใจว่าแก้ไขได้ด้วย) การตั้งค่าไดเร็กทอรีข้อมูลพื้นฐานให้คนอื่นสามารถค้นหาเราได้ การตั้งค่าหน้าโปรไฟล์ที่จะปรากฏเมื่อมีคนค้นหาผ่านเสิร์ชเอนจิ้น รวมถึงรายชื่อผู้ที่ถูกบล็อคได้ด้วย

ใครเข้าถึงหน้าเว็บ m.facebook.com/privacy ได้แล้วช่วยมาเล่าสู่กันฟังหน่อย ว่ามีการตั้งค่าอะไรบ้าง ขอบคุณครับ :D

ที่มา: www.FacebookBlog.com

ข่าวประจำสัปดาห์ที่4

Facelook กับการได้งานหรือตกงาน


นาทีนี้ใครไม่รู้จักเจ้า หน้าหนังสือ face book
social network ที่มีประชากรมากมายเล่นกันทั่วโลก เห็นทีจะตามโลกไม่ทันแน่
ถูกจัดให้เป็นประเทศเฟซบุ๊คที่มีคนมากเป็นอันดับสี่ของโลกรองจากจีน อินเดีย สหรัฐอเมริกา

แต่ใครที่เล่นไม่เป็นเวลา ไม่บันยะบันยัง ต้องขอเตือน
ไม่ใช่แค่เล่นในเวลางานแล้วเสียงานเท่านั้น
แต่ตอนนี้บริษัทใหญ่ ๆ ที่ก้าวหน้า เค้าจะตรวจสอบคนที่มาสมัครงานไว้จาก face book
ใครนิสัยอย่างไร ทัศนคติเป็นแบบไหน เหมาะกับงานหรือเปล่า
เป็นคนสำมะเลเทเมาหรือคนดูแลสุขภาพ อะไรที่ปิดไว้ตอนสัมภาษณ์ รับรองว่าปิดไม่มิดแน่

อีกเรื่องที่น่ากลัวคือ เขาจะดูไปถึงความถี่ที่เข้าไปใช้งาน
เรียกว่าใครวัน ๆ เอาแต่เล่น เดี่ยวอัพเดท อยู่บ่อย ๆ ฝ่ายทรัพยากรบุคคลเอาอาจสุ่มดูได้
หรือกำลังสมัครงานอยู่ เขาอาจไม่เรียกสัมภาษณ์เน้อ

เฮ้อ โลกสมัยใหม่ ก็ต้องตามกันให้ทัน ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ
เลือกใช้ให้ถูกกับตัวเอง เลือกดีก็ได้ดี นะ

ความคิดเห็นส่วนตัว คิดว่าเป็นข้อมูลที่นำมาใช้ตัดสินใจได้ส่วนหนึ่งเท่านั้น
ที่มา : http://www.never-age.com

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 3

5 จุดควรรู้เพื่อตั้งค่าบนเฟสบุ๊ก

หลังจากผู้ก่อตั้งเฟสบุ๊ก (Facebook) มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ออกมาประกาศเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าในเฟสบุ๊กตามความกังวลของผู้ใช้ หน่วยงานที่ตรวจสอบดูแล และนักวิจารณ์ทั่วโลก ต่อไปนี้คือ 5 ที่จุดการตั้งค่าเวอร์ชันล่าสุดที่สมาชิกเฟสบุ๊กทุกคนควรรู้เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวบนเฟสบุ๊กได้ตามใจต้องการ

1. ประวัติส่วนตัว (PERSONAL PROFILE)
เหนือสิ่งอื่นใด สมาชิกเฟสบุ๊กทุกคนต้องท่องไว้ให้ขึ้นใจว่า ชื่อ เพศ และภาพในประวัติส่วนตัว จะเป็น 3 ข้อมูลพื้นฐานที่ต้องปรากฏสู่สายตาประชาชนเฟสบุ๊ก (หรืออย่างน้อยก็กลุ่มเพื่อน) โดยภาพประวัติและชื่อจะถูกแสดงแบบอัตโนมัติเมื่อมีการพิมพ์ข้อความแสดงความคิดเห็นบน "wall" หรือพื้นที่เฟสบุ๊กของใครก็ตาม ฉะนั้นรูปเถื่อน ดิบ ถ่อย อย่าเผลอเอาขึ้นเชียว
สิ่งที่สมาชิกเฟสบุ๊กสามารถทำได้คือการเลือกว่าใครจะสามารถเห็นข้อมูลอื่นๆในประวัติส่วนตัว (นอกเหนือจาก 3 ข้อมูลพื้นฐานข้างบน) เช่น สถานที่เกิด รายชื่อเพื่อน และงานอดิเรก
ก่อนจะไปตั้งค่า สมาชิกเฟสบุ๊กสามารถตรวจสอบสถานะความเป็นส่วนตัวที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วยการคลิกที่คำว่า "Account" ซึ่งจะปรากฏอยู่มุมบนขวาของหน้าเฟสบุ๊ก จากนั้นจะมีดรอปดาวน์เมนู ให้เลือกที่ Privacy Settings
เมื่อเลือกแล้วจะปรากฏหน้าเพจ Basic Directory Information ให้คลิกที่ลิงก์ View Settings ซึ่งจะปรากฏในท้ายข้อความย่อหน้าแรก ก็จะสามารถตั้งค่าได้ว่าต้องการเปิดเผยประวัติส่วนตัวแก่ใคร
ข้อมูลประวัติส่วนตัวบางข้อมูลสามารถเก็บเป็นความลับเฉพาะไม่แบ่งใครก็ได้ โดยจะต้องเลือกที่ Customise ในเมนูดรอปดาวน์ และเลือกตั้งค่า "make this visible to" เป็น Only Me

2. การแบ่งปัน (SHARING ON FACEBOOK)
แน่นอนว่าสมาชิกเฟสบุ๊กทุกคนสามารถเลือกได้ตามใจชอบว่า ใครสามารถเห็นความเป็นคุณบนเฟสบุ๊กได้บ้าง โดยต้องตั้งค่าในส่วน "Sharing on Facebook" ซึ่งต้องเข้าทางหน้า Privacy Settings
ค่า Sharing on Facebook ที่เฟสบุ๊กแนะนำให้สมาชิกนั้นต้องยอมรับว่าค่อนข้างเปิดเผยมาก แต่ใน Sharing on Facebook สมาชิกจะสามารถเลือกเปิดเผยข้อมูลเฉพาะเพื่อน Friends Only หรือเลือก Customise Settings ซึ่งเป็นลิงก์ข้อความสีฟ้าตัวจิ๋วที่บริเวณท้ายสุดของหน้า เพื่อระบุขอบเขตผู้ชมที่เล็กลงกว่า
หน้า Customise Settings นี้เองที่สมาชิกเฟสบุ๊กสามารถ"ล็อก"ได้ว่าใครสามารถเห็นอีเมลแอดเดรส เบอร์โทรศัพท์มือถือ รวมถึงอนุญาตให้ใครสามารถเข้ามาเขียนข้อความที่ wall ได้บ้าง
สำหรับการเขียน status update หรือการโพสต์ข้อความอัปเดทสถานะแล้วต้องการล็อกให้สมาชิกบางคนเห็นเท่านั้น ก็สามารถคลิกที่สัญลักษณ์แม่กุญแจใต้กล่องข้อความ เพื่อตั้งค่าเป็นพิเศษได้

3. แอปพลิเคชันและเว็บไซต์ (APPLICATIONS AND WEBSITES)
เพื่อการทำให้เฟสบุ๊กไม่รก สมาชิกสามารถเปิดหน้า Privacy Settings ซึ่งมีทางเข้าที่มุมซ้ายล่างของหน้าเพื่อลบแอปพลิเคชันขยะที่ไม่ต้องการออกได้ด้วยการคลิกที่ "remove unwanted or spam applications" ซึ่งสมาชิกจะสามารถเลือกให้เหลือแต่แอปพลิเคชันสุดโปรดอย่างเกม Farmville หรือ Bejeweled Blitz ได้
ที่น่าสนใจคือ สมาชิกเฟสบุ๊กทุกคนสามารถลบประวัติไม่ให้ใครค้นหาได้เจอด้วยการคลิกลิงก์ Edit Settings แล้วคลิก untick หรือยกเลิกการยินยอมให้ค้นหาพบโดยสาธารณะ

4. การปิดกั้นไม่ให้ใช้ (BLOCK LISTS)
สมาชิกเฟสบุ๊กสามารถปิดกั้นไม่ให้ใครก็ได้เข้ามาชมข้อมูลส่วนตัว หรือข้อความอัปเดทสถานะ อย่างไรก็ตามควรรู้ว่า คนที่ถูกบล็อกจะสามารถติดต่อกับผู้ที่บล็อกได้ผ่านเกมบางเกม และแอปพลิเคชันบางตัว

5. เลิกใช้เฟสบุุ๊ก (QUITTING FACEBOOK)
กรณีที่สมาชิกอยากลบข้อมูลตัวเองออกจากเครือข่ายสังคมอย่างเฟสบุ๊ก สามารถเข้าไปที่ Help Centre ที่มุมล่างขวาของหน้าเฟสบุ๊ก เพื่อยกเลิกการใช้งานชื่อบัญชีเฟสบุ๊กอย่างหมดจด
ผู้ที่ต้องการยกเลิกเฟสบุ๊กจะต้องพิมพ์ข้อความ "delete my account" ลงในแถบค้นหา เลือกคำถาม "I want to permanently delete my account" แล้วแสดงความต้องการลบชื่อบัญชีด้วยการคลิกที่ "here" ซึ่งปรากฏที่ปลายประโยค แล้วยืนยันคำขอด้วยการกด "submit"
แต่สำรับคนที่อยาก"พัก"ขอเวลาออกห่างเฟสบุ๊กระยะหนึ่ง ก็สามารถเลือกตั้งค่าที่ลิงก์ Account (มุมขวาของหน้าเฟสบุ๊ก) แล้วคลิกที่ Deactivate Account หลังจากกรอกแบบฟอร์มเล็กน้อยจากเฟสบุ๊ก เฟสบุ๊กจะทำการพักและเก็บรักษาแฟ้มประวัติไว้เพื่อรอวันที่สมาชิกจะกลับมา re-activate อีกครั้ง แต่ผู้ใช้รายอื่นจะไม่สามารถเปิดชมเฟสบุ๊กของสมาชิกรายนั้นได้

อีกข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเลิกใช้เฟสบุ๊กคือ วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 53 (1 มิถุนายนในประเทศไทย) ถูกตั้งชื่อเรียกโดยกลุ่มคนออนไลน์ว่า Quit Facebook Day หรือวันเลิกใช้เฟสบุ๊กด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นคือสมาชิกเฟสบุ๊ก 31,000 ชื่อบัญชีทั่วโลกพร้อมใจกันตัดญาติกับเฟสบุ๊กด้วยการลบชื่อบัญชีออกเพื่อประท้วงว่าไม่เห็นด้วยกับมาตรการการรักษาข้อมูลส่วนตัวใหม่ในเฟสบุ๊ก โดยเฉพาะการกำหนดค่าเริ่มต้นที่เปิดเผยข้อมูลเสรีมาก ทำให้ผู้ใช้ที่ไม่รู้ว่าต้องตั้งค่าความส่วนตัวใหม่นั้นสูญเสียความเป็นส่วนตัวไปและตกอยู่ในความเสี่ยง
ขณะนี้ เฟสบุ๊กมีสมาชิก 450 ล้านคน ราว 3.75 ล้านคนเป็นผู้ใช้งานในประเทศไทย โดยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงอายุระหว่าง 18-24 ปี (ขอบคุณข้อมูลจาก checkfacebook.com)
สำหรับไกด์ไลน์การตั้งค่าผู้ใช้เฟสบุ๊กทั้ง 5 ข้อนี้ ขอขอบคุณเนื้อหาและภาพประกอบจากบีบีซีนิวส์
แหล่งที่มาข้อมูล : http://www.manager.co.th/CBizReview/ViewNews.aspx?NewsID=9530000077766

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 2

ซีอีโอเผย ยอดผู้ใช้ 'เฟซบุ๊ก' ทะลุ 500 ล้าน

ยอดผู้สมัครใช้บริการ "เฟซบุ๊ก" ทั่วโลก มีจำนวนทะลุหลัก 500 ล้านคนไปแล้ว จากการเปิดเผยของซีอีโอ และผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดนิยมดังกล่าว...
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันที่ 22 ก.ค.ว่า "เฟซบุ๊ก" เว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดัง ได้มีตัวเลขยอดผู้สมัครเข้าใช้งานทะลุหลัก 500 ล้านคนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มาร์ค เอลเลียต ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอวัย 26 ปี และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท "Facebook Inc." ผู้ให้บริการเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดัง ได้ออกมาแถลงที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทในเมืองพาโล อัลโต มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐฯ โดยระบุว่า ยอดผู้สมัครใช้บริการผ่านทางเว็บไซต์ "facebook.com" ทั่วโลกในขณะนี้ ได้เพิ่มจำนวนขึ้นจนทะลุหลัก 500 ล้านคนไปแล้ว เมื่อวันที่ 21 ก.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตัวเลขผู้ใช้บริการของเฟซบุ๊กยังอยู่ที่ราว 400 ล้านคน
"ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า จะมีคนสนใจสมัครใช้บริการของเฟซบุ๊กมากถึงเพียงนี้ และหากมีใครบอกกับผมเมื่อตอนก่อตั้งบริษัทเมื่อ 6 ปีที่แล้วว่า เฟซบุ๊กจะมีคนใช้งานถึง 500 ล้านคน ผมคงจะไม่มีวันเชื่ออย่างแน่นอน" ซัคเคอร์เบิร์ก กล่าว
ซีอีโอของเฟซบุ๊ก อิงก์ ซึ่งเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายยิวรายนี้ ยังแถลงเปิดตัวแอพพลิเคชั่นใหม่ล่าสุดที่จะเปิดให้ใช้บริการในเว็บไซต์เฟซบุ๊ก คือ บริการที่เรียกว่า "Facebook Stories" ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายทอดเรื่องราวและประสบการณ์ต่างๆ ได้มากขึ้นเช่นเดียวกับการเขียน "บล็อก" ที่กำลังเป็นที่นิยมในโลกออนไลน์
ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดจากบริษัท "คอมสกอร์ อิงก์" ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำวิจัยด้านการตลาดชื่อดัง ออกมาระบุว่า จำนวนผู้ใช้งานที่แท้จริงของเฟซบุ๊กจนถึงขณะนี้ อยู่ที่ 519 ล้านคนแล้ว และยังคงเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของโลกในเวลานี้
แหล่งที่มาข้อมูล :http://www.thairath.co.th/content/oversea/98030

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่1

"Facebook" ว่าที่สปอนเซอร์รายใหม่ของทีมชาติอังกฤษ ?

“Facebook” เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) ยอดฮิต เตรียมทุ่มเงิน 40 ล้านปอนด์ (ราว 2,000 ล้านบาท) เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนรายใหม่ของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) แทน เนชันไวด์ แม้ก่อนหน้านี้ ฟาบิโอ คาเปลโล กุนซือจอมเฮี้ยบจะออกกฎเหล็กห้ามนักเตะเล่นเฟซบุ๊กในช่วงฟุตบอลโลกก็ตาม

“เดลี เมล์” สื่อเมืองผู้ดีรายงานว่า เฟซบุ๊ก เป็น 1 ใน 4 บริษัทที่ยื่นข้อเสนอเข้ามาเป็นสปอนเซอร์ให้ทีมชาติอังกฤษ เช่นเดียวกับ โอทู (O2) และ ออเรนจ์ (Orange) สองผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมถึง ซานตานเดร์ (Santander) ธนาคารสเปน โดยสมาคมลูกหนังผู้ดีคาดหวังว่าจะได้เงินสนับสนุนมากขึ้น 2 เท่าจากที่ เนชันไวด์ กลุ่มธุรกิจการเงินและการธนาคารชั้นนำของโลกเคยให้ 20 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,000 ล้านบาท) ภายใต้สัญญา 4 ปี ซึ่งจะไม่ต่อสัญญาที่กำลังจะหมดลงในเดือนหน้า

อนึ่ง เฟซบุ๊ก เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่กำลังได้รับความนิยมสูงสุด โดยมีผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 400 ล้านคน ซึ่งหากเอฟเอได้มาเป็นผู้สนับสนุนหลักจริงก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้แฟนบอล “สิงโตคำราม” มีพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็นต่อผลงานที่ต่ำกว่ามาตรฐานของทีมชาติ ภายใต้การคุมทัพของ ฟาบิโอ คาเปลโล เฮดโค้ชชาวอิตาเลียนที่สั่งห้ามนักเตะเล่น เฟซบุ๊ก ในระหว่างลงทำศึกเวิลด์คัพ 2010 ที่แอฟริกาใต้

นอกจากนั้น แหล่งข่าวยังประเมินว่า หากทีมชาติอังกฤษมีหน้าเฟซบุ๊กเป็นของตัวเองจากการทำสัญญากับเครือข่ายสังคมออนไลน์สัญชาติอเมริกัน และสามารถสร้างผลงานได้น่าประทับใจในช่วงต่อจากนี้ เชื่อว่าจะมีเรตติงในระดับที่สูสีกับ “เลดี กาก้า” นักร้องสาวชื่อดังซึ่งมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมหาศาลถึง 10 ล้านคน

ทั้งนี้ อังกฤษ กำลังเร่งเจรจาในการบรรลุข้อตกลงกับ 1 ใน 4 บริษัทดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อให้ทันเปิดตัวในเกมอุ่นเครื่องกับ ฮังการี ที่สนามเวมบลีย์ ในวันที่ 11 สิงหาคมนี้ รวมถึงมีอำนาจต่อรองในการดึงสปอนเซอร์รายใหม่เข้ามาร่วมสนับสนุน

ที่มาครับ

http://paidoo.net/scoop/facebook

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ชาวอำเภอศีขรภูมิจังหวัดสุรินทร์เห็นปราสาทระแงง อย่างคุ้นเคยตั้งแต่เด็ก ได้วิ่งเล่นผ่านไปมารอบบริเวณสัญลักษณ์ประจำถิ่นแห่งนี้เสมอ คนนอกพื้นที่มักจะเรียกว่า “ปราสาทศีขรภูมิ” เป็นเทวาลัยในคติฮินดูเหมือน “ปราสาทบ้านพลวง” คำว่า “ระแงง” และ “บ้านพลวง” เป็นชื่อชุมชนที่อยู่รอบปราสาท ผู้คนจึงเรียกโบราณสถานไปตามชื่อหมู่บ้านหรือตำบล ไม่มีใครรู้ชื่อดั้งเดิมที่เรียกกันในสมัยโบราณ ความโดดเด่นของปราสาทระแงงอยู่ที่รูปสลักพระศิวะบนทับหลังที่งดงามสมบูรณ์แบบทีเดียว ความจริงยังมีทับหลังรูปพระกฤษณะประลองกำลังกับคชสีห์ (กรมศิลปากรนำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย) รวมอยู่ด้วย ผมไม่สาธยายยืดยาวนัก เพราะว่าในปัจจุบันปราสาทระแงงไม่ได้เป็นสมบัติเฉพาะของชาวสุรินทร์เท่านั้น แต่เป็นของล้ำค่าของคนทั้งประเทศไปแล้ว ช่วงที่เพิ่งสร้างปราสาทแล้วเสร็จเชื่อว่าไม่ได้มีรูปทรงอย่างนี้ น่าจะเป็นสถาปัตยกรรมในศิลปะเขมรหมดทั้งองค์เหมือนที่พนมรุ้งหรือพิมาย ถ้าสังเกตให้ดีจะพบร่องรอยต่อเติมยอดปราสาทให้มีลักษณะเป็นพระธาตุแบบล้านช้าง มีนักวิชาการสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นฝีมือของชาวลาวที่อพยพเข้ามายังอีสานใต้ ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๒ แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นพวกไหน? และทำไม? ในสมัยโบราณการปรับแต่งศาสนสถานมักจะเกิดขึ้นเป็นระยะ มีการขูดลบภาพสลัก ทุบทิ้ง สร้างทับของเดิม ตลอดจนรื้อบางส่วนออกเลยก็มี โบราณสถานฮินดูหลายแห่งในอีสานใต้ก็ถูกดัดแปลงให้เป็นแบบมหายานและหินยาน อาทิ ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทวัดสระกำแพงใหญ่ เป็นต้น การวิเคราะห์สังคมอีสานใต้ในช่วงอันเป็นปัญหานี้เป็นเรื่องยาก แต่ก็น่าสนใจยิ่ง ความที่เคยเป็นสังคมฮินดูหรือมหายานมานาน เมื่อต้องปรับตัวเป็นหินยานก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ได้ราบรื่นทั้งหมด ต้องเกิดความขัดแย้งบ้างเป็นธรรมดา บางด้านอาจรุนแรงกว่าที่เราคิดไว้ด้วยซ้ำ สังคมอีสานใต้อาจสั่นคลอนจากการถูกชักจูง ครอบงำ และถูกบังคับจนเป็นเหตุให้ผู้คนทิ้งร้างบ้านเมือง แม้กระทั่งการอพยพเข้า-ออกพื้นที่อย่าสับสน ในช่วงที่อาณาจักรล้านช้างเรืองอำนาจ หรือแตกแยกเป็นลาวหลวงพระบาง ลาวเวียงจันทร์ และลาวจำปาศักดิ์ ก็เชื่อว่าได้ส่งผลกระทบต่ออีสานทั้ภาคอย่างกว้างขวางและเกี่ยวข้องพัวพันกันไปหมด การดัดแปลงต่อเติมโบราณสถานถ้าเกิดขึ้นในปัจจุบันอาจจะเป็นปัญหาใหญ่ สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้นักโบราณคดี เช่น กรณีสร้างวัดทับที่หรือประชิดโบราณสถานที่ของเดิมเป็นแบบฮินดู ซึ่งเป็นปัญหาในหลายพื้นที่ และแทบจะแก้ไขอะไรไม่ได้เลย เพราะความเสียหายได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ความเสียหายที่ว่านั้นนอกจากจะทำลายคุณค่าดั้งเดิมของโบราณสถานแล้ว ยังทำให้หลักฐานที่จะให้ศึกษาเรื่องราวสมัยโบราณสูญหายไปด้วย ผมไม่ต้องการจะตำหนิใคร เพราะก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นเคยมีนักวิชาการที่ไหนมาให้ความรู้ความเข้าใจกับชาวบ้านเลย ทำให้เกิดสภาพที่ใครบอกว่าทำอย่างนี้ดีแล้วก็ว่าดีไปกับเขาด้วย เป็นเรื่องที่ไม่รู้จะโทษใครเหมือนกัน อย่างไรก็ดี ‘อาจารศรีศักร วัลลิโภดม’ นักโบราณคดีอาวุโส มีความเห็นว่า การเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้ย่อมยืนยันได้ว่า บริเวณอีสานใต้มีชุมชนและผู้คนอาศัยกันมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ไม่ได้กลายเป็นเมืองร้างหลังจากที่ขอมเสื่อมอำนาจ ดังที่มีผู้ตั้งทฤษฎีไว้แต่อย่างใด ในอีกประเด็นหนึ่ง การที่อาณาจักรล้านช้างได้เคลื่อนตัวเข้ามายังอีสานใต้ และสั่งให้ปรับแต่งปราสาทขอมเมื่อ ๕๐๐-๖๐๐ ปีที่แล้ว ก็เป็นสิ่งยืนยันได้ถึงพลังอำนาจและอิทธิพลของล้านช้างที่มีต่อภูมิภาคแถบนี้“...ดินแดนตอนใดมีเสา เป่าแคน แห่นข้าวเหนียว เคี้ยวปลาแดก แม่นของลาว...” เป็นคำจำกัดความเรื่องเขตแดนที่เขียนไว้ง่ายๆ ในพงศาวดารลาวมาแต่โบราณ แต่สะท้อนถึงอดีตที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลย ……….
ถ้าใครเคยไปนมัสการ “พระธาตุศรีสองรัก” ที่ อ.ด่านซ้าย จ.เลย น่าจะเห็นภาพได้ เพราะพระธาตุองค์นี้ไทยกับลาวจับมือร่วมกันสร้างขึ้นเป็นสักขีพยานตรงพรมแดนระหว่างอยุธยากับล้านช้าง ไม่ได้ใช้ลำน้ำโขงเป็นเส้นแบ่งเขตแดนแต่อย่างใด สำเนียงภาษาลาวนั้น แค่เราเดินทางขึ้นเหนือพ้นกรุงเทพฯ ไปไม่ไกล ชาวบ้านชาวเมืองก็เว้าลาวกันหมดแล้ว จะเป็นสำเนียงล้านนาหรือล้านช้างก็ลาวทั้งนั้น เขตไทยแท้ๆ ในสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์ น่าจะมั่นคงถึงแค่นครรราชสีมาเท่านั้นเอง แต่อิทธิพลของล้านช้างที่แผ่ลงมายังอีสานใต้ก็ไม่น่าจะสามารถดูดกลืนชุมชนเก่าแก่ที่เป็นเขมร เป็นส่วย ให้เปลี่ยนแปลงได้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะบางด้านของวัฒนธรรมเขมร-ส่วย ก็มีความเข้มข้นต่างจากลาวอยู่ไม่น้อย การเรียกชาวลาวสองฝั่งโขงนั้น ในอดีตคนภาคกลางมักแบ่งชาวลาวออกเป็นกลุ่มอย่างไม่ค่อยโสภานัก เช่น เรียกคนทางเหนือว่า “ลาวพุงดำ” เพราะนิยมสักยันต์ดำพรืดจากขาไปถึงพุง แล้วเรียกคนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่า “ลาวพุงขาว” เพราะไม่ได้สักอะไรไว้ตามตัว เรื่องแบ่งพรรคแบ่งพวกเป็นลาวพุงขาว ลาวพุงดำ หรือเขมรป่าดงอย่างนี้แหละ ในที่สุดแล้วก็กลายเป็นปัญหาใหญ่โตขึ้น เมื่อฝรั่งเศสใช้เป็นข้ออ้างมายึดดินแดนไปจากเมืองไทย เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๒ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองบ้านเมืองทางอีสานขนานใหญ่ มีการออกประกาศให้รวมหัวเมืองต่างๆ ยกขึ้นเป็นมณฑลอีสาน ประกอบด้วย สุรินทร์ อุบลฯ ขุขันธ์ และร้อยเอ็ด ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่มีการใช้คำว่า “อีสาน” เป็นชื่อเรียกแว่นแคว้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างเป็นทางการ ในช่วงนี้เองที่เพิ่งจะมีคำสั่งให้บรรดาเจ้าเมือง ปลัดเมือง และข้าราชการในพื้นที่ระมัดระวังการขึ้นทะเบียนชนกลุ่มต่างๆ บังคับให้บันทึกเป็น “สัญชาติไทย” ทั้งหมด ห้ามเขียนเป็น ลาว เขมร ส่วย จาม ฯลฯ ด้วยเกรงว่าจะเป็นช่องทางให้ฝรั่งเศสใช้เรียกร้องเอาดินแดนทางอีสานไปอีก เมื่อถึงตรงนี้แล้วอยากย้ำว่า เรื่องวัฒนธรรมเป็นเรื่องสำคัญและละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง เราต้องศึกษาทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ สมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามาล่าอาณานิคมในอินโดจีนนั้น พวกนี้ไม่ได้หลับหูหลับตาถือปืนเข้ามาโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่ได้ศึกษาวัฒนธรรมของเราในทุกแแง่ทุกมุมจนมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง มีฝรั่งคนหนึ่งชื่อ ‘โอกุสต์ ปาวี’ (Auguste Pavie) ซึ่งต้องบอกว่าเป็นตัวการสำคัญทีเดียว นายปาวีฝังตัวเข้ามาสำรวจบ้านเมืองทางอีสาน ลาว เขมร เป็นเวลาหลายปี ทั้งจดบันทึก วาดภาพ และทำแผนที่เก็บไว้อย่างละเอียด แล้วจึงสรุปเอาดื้อๆ ว่าดินแดนสยามที่เป็นคนไทยจริงๆ นั้นมีแค่ ๑๖๙,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ส่วนคนพื้นเมืองที่อยู่ทางตะวันออกล้วนแต่พูดภาษาต่างจากเมืองหลวง เป็นลาว ส่วย เขมร ไม่ใช่ไทย การรายงานข้อมูลอย่างนี้เองที่ทำให้ฝรั่งเศสมั่นอกมั่นใจและเดินหน้าหาทางยึดดินแดนสองฝั่งแม่น้ำโขงไปจากเมืองไทยให้ได้ ซึ่งหวุดหวิดจะทำสำเร็จเพราะสามารถยึดฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงไปจนหมดสิ้น ผลงานของนายปาวีจึงสร้างความช้ำใจให้แก่ชาวไทยอย่างไม่รู้ลืม การล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสจึงมีส่วนทำลายความรู้สึกเกื้อกูลและสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดแบบเครือญาติระหว่างบ้านพี่เมืองน้อง ไทย เขมร ลาว ที่เคยดำรงอยู่มาอย่างยาวนานให้แปรเปลี่ยนไป แถมยังทิ้งบาดแผลลึกให้เราต้องรักษาเยียวยามาจนถึงปัจจุบัน เหตุการณ์ข้างต้นเพิ่งผ่านพ้นไปร้อยกว่าปีเท่านั้นเอง เราต้องช่วยกันสั่งสอนลูกหลานให้จดจำเหตุการณ์เหล่านี้ ถือเป็นอุธาหรณ์สอนใจว่า ถ้าสังคมไทยแตกแยกเล่นพรรคเล่นพวก หรือสร้างกระแสดูถูกดูแคลนกันเป็น ลาว เขมร แขก ขึ้นมาอีกเมื่อใดละก็ ความวิบัติอย่างบูรณาการย่อมเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ...ต้องะวังให้จงหนักทีเดียว